ถือได้ว่ากำลังอยู่ในช่วงฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงอย่างมากเลยทีเดียว สำหรับนักเทนนิสหนุ่มวัย 24 ปี ชาวรัสเซียอย่างดาเนี่ยล เมดเวเดฟ ที่ยังคงรักษาผลงานอันยอดเยี่ยมของตัวเองเอาไว้ได้ และพาตัวเองก้าวไปคว้าถ้วยรางวัลการแข่งขันเทนนิสรายการใหญ่อย่าง เอทีพี ไฟนอล ได้สำเร็จ ซึ่งการคว้าแชมป์มาครองได้ในครั้งนี้มันก็ทำให้กลายเป็นการคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นครั้งแรกของเขาได้สำเร็จ ซึ่งมันเกิดขึ้นหลังจากการคว้าถ้วยใหญ่อย่างเอทีพี ทัวร์ 1000 ปารีส โอเพ่น มาได้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งนั่นเท่ากับว่าในเวลาเพียงแค่ไม่ถึงเดือน ดาเนี่ยล เมดเวเดฟ สามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่มาครองได้ถึงสองรายการด้วยกัน และการคว้าแชมป์มาครองได้ในครั้งนี้ เขายังสามารถเก็บสถิติการเป็นแชมป์แบบที่สามารถเก็บชัยชนะได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์เต็มอีกด้วย ในการชนะทั้งหมดของเขานั้นบนเส้นทางที่ก้าวสู่แชมป์เขาสามารถเอาชนะมาได้ทั้งโนวัค ยอโควิช และราฟาเอล นาดาล รวมไปถึงคู่แข่งในคู่ชิงอย่างโดมินิค เธียมคู่แข่งของเขาในนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนักเทนนิสระดับแนวหน้าของโลกในยุคนี้ทั้งสิ้น นอกจากฟอร์มการเล่นและสถิติส่วนตัวแล้ว การคว้าแชมป์รายการนี้ยังทำให้เขากลายเป็นนักเทนนิสคนที่สองในประวัติศาสตร์ของรัสเซียที่สามารถทำได้สำเร็จ เพราะที่ผ่านมามีเพียงนิโคไล ดาวิเดนโก้ เท่านั้นที่เป็นนักเทนนิสชาวรัสเซียที่เคยได้แชมป์รายการนี้มาก่อน ซึ่งมันก็เกิดขึ้นมานานถึง 11 ปีแล้วอีกด้วย มันจึงทำให้แฟนเทนนิสรัสเซียตื่นเต้นกันอย่างมากจนถึงขนาดประธานาธิบดีปูตินยังร่วมแสดงความยินดีกับเขาเลยทีเดียว และที่สำคัญดาวีเดนโก้ยังสามารถทำสถิติไว้ได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันจึงเป็นไปได้สูงมากที่สถิติของเขาจะโดนเมดเวเดฟฉีกกระจุยในอนาคตอันใกล้นี้ นอกจากเรื่องสถิติและเงินรางวัลที่เขาคว้ามาได้แล้ว หากลองมองย้อนกลับไปดูเส้นทางสู่การเป็นแชมป์ของเขา จะเห็นว่าเขาปราบบรรดานักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่มาได้แล้วทุกคน ซึ่งเมื่อมองจากอายุของเขาแล้วก็จะเห็นว่ามันเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นในการไขว่คว้าความสำเร็จเท่านั้น และปัจจุบันเขายังมีอันดับโลกสูงถึงอันดับที่ 4 อีกด้วย ซึ่งหนึ่งใน 5 อันดับแรกของโลกนั้นก็ล้วนแล้วแต่เข้าสู่ช่วงปลายของอาชีพแล้วทั้งนั้น คืออันอับ 1 ยอโควิช 33 ปี อันดับ…
สถานการณ์ไม่ดีแบบนี้ แม้แต่ตำนานอย่างซีดานก็มีเสียวอยู่เหมือนกัน
นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างแท้จริงสำหรับทีมราชันชุดขาว โดยเฉพาะกับตัวกุนซือใหญ่ของทีมอย่างซีเนดีน ซีดาน ที่ดูเหมือนว่าตอนนี้เก้าอี้ของเขาดูจะร้อนขึ้นทุกวัน และหากยังไม่สามารถพาทีมกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง ไม่แน่ว่าแม้แต่ตัวเขาเองซึ่งถือเป็นระดับตำนานของสโมสรมาตั้งแต่สมัยที่เป็นผู้เล่น และตอนที่เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมแล้วก็อาจจะไม่สามารถรอดพ้นจากการลงดาบได้ และข่าวลือเกี่ยวกับการโดนปลดของเขารวมไปถึงการหาตัวแทนมันก็มีมากขึ้นทุกวัน สาเหตุที่ข่าวเหล่านั้นมันผุดขึ้นมาตามหน้าสื่อต่าง ๆ นั้นมันก็มาจากผลงานของทีมราชันชุดขาวภายใต้การคุมทีมของเขาในช่วงนี้ออกมาไม่ค่อยจะดีทั้งในลีกและบอลถ้วยยุโรปนั่นเอง ซึ่งในลีกนั้นทัพราชันก็มีผลงานลุ่ม ๆ ดอน ๆ โดยเขาพาทีมหลุดแพ้ไปแล้วถึง 3 เกมจากการแข่งขันทั้งหมด 11 เกมที่ผ่านมา ทำให้ทีมอยู่ห่างจากผุ้นำอยู่ถึง 6 คะแนน แถมเตะเยอะกว่าหนึ่งนัด ที่สำคัญนั้นตำแหน่งจ่าฝูงมันกลับกลายเป็นคู่แข่งร่วมเมืองอย่างแอตเลติโก้ มาดริดอีกด้วย ซึ่งดูจะเป็นเรื่องที่เสียหายไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับทีมยักษ์ใหญ่อย่างพวกเขา ส่วนในรายการใหญ่อย่างยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกนั้นเขาก็พาทีมไปอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงที่จะตกรอบแบ่งกลุ่ม หรือร่วงลงไปเล่นในยูโรป้าเมื่อพวกเขารั้งอยู่อันดับสามในตาราง โดยเหลือโปรแกรมการแข่งขันเพียงแค่นัดเดียวเท่านั้นเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วส่วนหนึ่งที่ผลงานของทีมย่ำแย่มันอาจจะมาจากเรื่องราวแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อตลาดนักเตะช่วงที่ผ่านมา ที่จะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำการเสริมทัพจากตลาดนักเตะหน้าร้อนเลยแม้แต่คนเดียว ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปีเลยทีเดียวที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แถมนอกจากไม่ซื้อเพิ่มแล้วยังมีการปล่อยนักเตะชื่อดังอย่างแกเร็ธ เบล และฮาเมส โรดริเกวซออกไปอีกด้วย ซึ่งยังไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใดระหว่างซีดานพอใจกับทีมชุดนี้แล้ว หรือว่าเป็นนโยบายการรัดเข็มขัดของทางสโมสร ซึ่งถ้าหากเกิดจากสาเหตุหลังการจะโทษซิซูเพียงคนเดียวนั้นมันก็ย่อมจะไม่ถูกต้อง เพราะในสถานการณ์เช่นนี้จะเห็นได้ว่าเขามีตัวเลือกในการใช้งานค่อนข้างจำกัดมากเลยทีเดียว ซีเนดีน ซีดานนั้นนอกจากจะเป็นตำนานนักเตะของสโมสรแห่งนี้แล้ว ในบทบาทกุนซือเขาก็ถือเป็นหนึ่งในระดับตำนานของทีมด้วยเช่นกัน การพาทีมคว้าได้ถึง 2 แชมป์ลาลีกา กับอีก 3 แชมป์ยูซีแอลนั้นนับว่าเป็นเครดิตที่เขามีสะสมไว้มากพอสมควร แต่ถ้าหากว่าผลงานในสนามของลูกทีมของเขายังคงไม่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ บางทีเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับตำนานอย่างเขาก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน เพราะในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบวของทีมอย่างราชันชุดขาวนั้น ย่อมไม่มีพื้นที่ให้กับความล้มเหลวใดอย่างแน่นอน
หรือปีร์โล่จะยังไม่ใช่ สำหรับตำแหน่งนายใหญ่แห่งทัพม้าลาย
มันเริ่มจะเป็นเครื่องหมายคำถามขึ้นเสียแล้วสำหรับผลงานการคุมทัพม้าลาย ของอดีตกองกลางระดับตำนานของทีมอย่างอันเดรีย ปีร์โล่ ที่หลังผ่านโปรแกรมการแข่งในฤดูกาลใหม่มาได้นานพอสมควรแล้ว แต่เขายังไม่สามารถพาทีมควบแบบเต็มฝีเท้าได้เสียที แถมม้าลายของเขายังคงออกอาการสะดุดบนทางเรียบ ๆ บ่อยอีกด้วย มันจึงเกิดคำถามตามมาว่าเขาอาจจะไม่ใช่คนที่ยูเวนตุสกำลังตามหาอยู่ก็ได้ อันเดรีย ปีร์โล่นั้นก้าวเข้ามาคุมทีมแทนกุนซือคนก่อนอย่างเมาริซิโอ ซาร์รี่ ซึ่งทางยูเวนตุสทั้งบอร์ดบริหารและแฟนบอลต่างมองว่าเขาไม่เหมาะสมสำหรับคุมทีมในระยะยาว แต่ต้องไม่ลืมว่าถึงจะดูไม่ดีเท่าไหร่แต่ซาร์รี่นั้นก็สามารถพาทีมม้าลายจบฤดูกาลด้วยการคว้าสคูเด็ตโต้ได้สำเร็จ ซึ่งมันทำให้พวกเขาคว้าแชมป์มายาวนานถึง 9 ปีติดต่อกัน และนั่นมันทำให้คนที่ถูกเลือกเข้ามาแทนอย่างเขานั้นกดดันหนักเข้าไปอีก เพราะต้องทำผลงานให้ดีได้อย่างน้อย ๆ ก็ต้องเท่ากับคนที่ถูกเด้งไปอย่างซาร์รี่นั่นเอง ซึ่งในช่วงเริ่มต้นใหม่ของฤดูกาลนั้นถึงแม้ว่าผลงานของทีมจะดูสะดุดไปบ้าง แต่ผู้คนก็มองว่ามันอยู่ในช่วงปรับแต่งทีมให้ลงตัวสำหรับผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างเขา ซึ่งก็ถือว่าเข้ามารับงานในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหมือนกัน เพราะผลกระทบจากโรคระบาดมันทำให้เขาแทบไม่มีโปรแกรมอุ่นเครื่องให้ทดลองทีมและแท็คติกของเขาเลย และถ้าหากผลงานจะออกมาแบบยังไม่ไหลลื่นมากนักมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่เมื่อผ่านเกมในฤดูกาลใหม่มาพอสมควรแล้วทีมของเขากลับถูกมองว่ายังคงไม่พัฒนาไปถึงไหน ยังคงไม่มีความคงเส้นคงวาซักเท่าไหร่และที่สำคัญดูเหมือนว่าเขายังไม่มี 11 ตัวจริงที่ลงตัวได้เสียทีนี่สิ ที่มันทำให้หลายคนเริ่มมองว่าเขาอาจจะพาทีมไปไม่ถึงจุดหมายที่พวกเขาตั้งไว้ก็เป็นได้ การที่ทีมของปีร์โล่ยังคงมีแผนการเล่นที่หาจุดลงตัวไม่ได้นั้น มันทำให้พวกเขาหวังพึ่งพาความสามารถนักเตะการทำประตูเป็นหลัก ซึ่งมันเห็นได้ชัดเจนเลยเวลาที่ไม่มีนักเตะอย่างโรนัลโด้อยู่ในสนามที่พวกเขาแทบจะไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ ทั้งที่ในทีมก็มีผู้เล่นแนวรุกที่ฝีเท้าไม่ได้เป็นรองใครเลยในโลก เพราะพวกเขามีทั้งโมราต้า และดีบาล่า บวกกับกำลังสนับสนุนที่มากมายหลายคน เพียงแต่ว่าผู้จัดการทีมอย่างเขาจะหาวิธีใช้งานผู้เล่นเหล่านี้อย่างไรให้มีศักยภาพสูงสุดเท่านั้นเอง ครั้งหนึ่งอันเดรีย ปีร์โล่นั้นเคยใช้มันสมองของเขาปั้นเกมรุกให้กับทีมจนกลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จ มาวันนั้นเขาต้องใช้สมองเดิมของเขาปั้นทีมทั้งทีมให้กลับไปสู่จุดนั้น ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะดูยากกว่าแต่อย่างไรก็ยังคงหวังและเอาใจช่วยให้เขาสามารถหาจุดลงตัวให้กับทีมได้ และพาทีมไปสู่เส้นทางที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ เพราะในฐานะแฟนฟุตบอลที่เคยเห็นเขาประสบความสำเร็จในสนามมาแล้ว ก็ไม่อยากที่จะเห็นเขาเจอกับความล้มเหลวในการคุมทีมข้างสนาม และยังคงเชื่อว่าเขามีศักยภาพมากพอที่จะทำได้ ยังไงก็ขอเอาใจช่วยนะ อันเดรีย ปีร์โล่
เสน่ห์สุดคลาสสิคของการแข่งขันเทนนิส Wimbledon
หากคุณเป็นแฟนเทนนิสตัวยง คุณย่อมรู้จัก “Wimbledon” รายการแข่งขันกีฬาเทนนิสรายการแกรนด์สแลมที่จัดขึ้นในประเทศอังกฤษ หนึ่งใน 4 รายการแกรนด์สแลมที่ยิ่งใหญ่ของปีไม่แพ้รายการอื่น ๆ และยังเป็นเทนนิสแกรนด์สแลมที่เก่าแก่มากที่สุดในโลกอีกด้วย ดังนั้นในวันนี้เราจะขอยกความคลาสสิคที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของวิมเบิลดันมาเล่าสู่กันฟัง การแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1877 ในย่านวิมเบิลดัน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และเป็นการแข่งขันเทนนิสบนคอร์ทหญ้านับตั้งแต่นั้นมา รายการวิมเบิลดันเป็นเพียงรายการเดียวที่ยังคงอนุรักษ์สนามแข่งเทนนิสที่เป็นสนามหญ้าไว้ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน แกรนด์สแลมที่ยังคงเอกลักษณ์แบบอนุรักษ์นิยม ในสไตล์อังกฤษ แม้ว่ารายการวิมเบิลดันจะดำเนินมาต่อเนื่องยาวนานถึงร้อยกว่าปี ถ้านับมาจนถึงตอนนี้ มาถึงยุคสมัยใหม่ที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย แต่วิมเบิลดันก็ไม่เคยเปลี่ยนตาม ยังคงคอยรักษากฎระเบียบ วัฒนธรรมของการแข่งขันแบบดั้งเดิมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น วิมเบิลดันเป็นรายการแกรนด์สแลมที่ขึ้นชื่อเรื่องการหาตั๋วยากที่สุด เนื่องจากสนามแข่งขันมีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงจำเป็นต้องจำกัดที่นั่ง และในการแข่งขันที่จัดในคอร์ทใหญ่ ที่เรียกกันว่า เซ็นเตอร์คอร์ท (Center Court) เมื่อการแข่งขันจบลงเป็นธรรมเนียมที่นักกีฬาจะต้องเดินออกจากสนามพร้อมกัน และยังมีที่นั่งสำหรับราชวงศ์ที่เรียกว่า Royal Box ใช้สำหรับสมาชิกราชวงศ์ของอังกฤษที่มาเข้าชมการแข่งขัน และมองรางวัลให้ผู้ที่ชนะเลิศ วิมเบิลดัน เป็นรายการเดียวที่ยังคงติดรายชื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งชายและหญิงไว้บนบอร์ด โดยการใช้คำสุภาพ อย่าง Gentleman และ Lady และการเรียกชื่อนักเทนนิสก็จะต้องขึ้นต้นด้วย MR. MRs. หรือ Miss ทุกครั้ง เพื่อให้เกียรติแก่ผู้เข้าแข่งขันทุกคน เครื่องแต่งกายของนักเทนนิสทุกคนจะต้องเป็น สีขาว เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ เสื้อแจ็กเก็ต กางเกง…
อเล็กซ์ มาร์เกซ รุกกี้ผู้นำโด่งในศึก MotoGP Virtual Race
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าไปทั่วโลก ทำให้การแข่งขันกีฬาทุกประเภทต้องหยุดชะงักลง โปรแกรมการแข่งขันที่ถูกกำหนดไว้ต้องเลื่อนออกไปนานนับเดือน โดยศึกโมโตจีพี การแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีก็เป็นหนึ่งในนั้น แถมในระหว่างพักการแข่งขันเหล่านักบิดยังต้องกักตัวเองอยู่กับบ้านเพื่อความปลอดภัยตามมาตรการสาธารณสุขอีกด้วย ทางผู้จัดการแข่งขันจึงเกิดไอเดียจัดแข่งขัน MotoGP Virtual Race ขึ้น ในโครงการ #StayAtHomeGP ซึ่งได้การตอบรับอย่างดีจากทั้งนักบิดชื่อดังและเหล่าแฟนกีฬาประลองความเร็วสองล้อ MotoGP Virtual Race เป็นการแข่งขันจักรยานยนต์ในโลกเสมือนจริงผ่านเกมโมโตจีพี เกมอีสปอร์ตชื่อดัง ที่ได้นักบิดตัวจริงเสียจริงมาจับจอยสติ๊กบังคับรถคู่ใจอยู่กับบ้าน และเปิดโอกาสให้แฟนทั่วโลกได้ติดตามรับชมการแข่งขันทางช่อง YouTube ของ MotoGP ซึ่งปัจจุบันถูกจัดไปแล้วทั้งสิ้น 4 สนาม และมีอเล็กซ์ มาร์เกซ ทำคะแนนรวมเป็นผู้นำอยู่ในขณะนี้ สนามแรกจัดการแข่งขันไปเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2563 โดยมีนักบิดเขาร่วมแข่งทั้งสิ้น 9 คน จาก 7 ทีม อาทิเช่น พี่น้องมาร์เกซ แห่งทีมเรปโซล ฮอนด้า, ฟรานเชสโก้ บัญญาญ่า จากทีมพราแม็ค เรซซิ่ง และมาเวริค บีญาเลส จากทีมยามาฮ่า ซึ่งเป็นการแข่งขันที่สนามมูเจลโล่ ประเทศอิตาลี โดยผู้ชนะประเดิมสนามแรกได้แก่ อเล็กซ์ มาร์เกซ รุกกี้แห่งศึกโมโตจีพี น้องชายแท้ ๆ ของมาร์ค…
ปาโบล ไอมาร์ ยอดเพลย์เมกเกอร์ ไอดอลของนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลก
นักเตะทุกคนไม่เว้นแม้แต่นักเตะระดับโลกย่อมมีนักเตะไอดอลในวัยเด็กเป็นเสมือนต้นแบบของตัวเอง อย่างเช่น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่มี โรนัลโด้ ดาวยิงสายเลือดแซมบ้าเป็นไอดอล, โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี ที่มอง เธียร์รี่ อองรี เป็นนักเตะต้นแบบ หรือแม้แต่เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ยกให้ ไมเคิล โอเว่น เป็นนักเตะคนโปรด แต่ในรายของ ลิโอเนล เมสซี่ ผู้ถูกยกให้เป็นนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลก แม้แฟนบอลส่วนใหญ่จะคิดว่าไอดอลของเขาคงหนีไม่พ้น ดิเอโก มาราโดน่า แต่ที่จริงแล้วเจ้าของบัลงดอร์ 6 สมัยกลับมี “ปาโบล ไอมาร์” เป็นนักเตะที่เฝ้าติดตามมาตั้งแต่วัยเด็ก ปาโบล ไอมาร์ เริ่มต้นเส้นทางอาชีพกับทีมริเวอร์เพลท สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลีกอาร์เจนติน่า โดยเป็นผู้เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกที่คอยสร้างสรรค์โอกาสทำประตูให้กับคู่กองหน้าอย่าง มาร์เซโล่ ซาลาส และฮวน ปาโบล อังเคล และด้วยสายตาอันเฉียบคมในการอ่านเกม บวกกับการจ่ายบอลอย่างแม่นยำทั้งทิศทางและน้ำหนัก ทำให้ “คิลเลอร์พาส” กลายเป็นอาวุธประจำตัวของไอมาร์ที่ช่วยต้นสังกัดทำประตูได้มากมาย สถิติ 28 แอสซิสต์ จาก 82 นัด เป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี หลังลงเล่นให้กับริเวอร์เพลท 4 ปี ชื่อเสียงของไอมาร์ก็โด่งดังไปทั่วยุโรปจนมิดฟิลด์อาเจนไตน์กลายเป็นนักเตะเนื้อหอมที่บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่ของยุโรปต้องการตัวไปร่วมทีม แต่แล้วก็เป็นทีมบาเลนเซียที่ได้ตัวไปครองในปี 2001…
วิลเลี่ยน การตัดสินใจครั้งสุดท้ายกับอนาคตในรังเชลซี
แม้ วิลเลี่ยน จะตัดสินใจกลับมาฝึกซ้อมและขยายสัญญาพิเศษออกไปเพื่อกลับมาลงสนามช่วยต้นสังกัดอย่างเชลซีทำการแข่งขันในฤดูกาล 2019-20 ที่เหลืออีกเพียง 9 นัดให้เสร็จสิ้น ซึ่งอาจจะเป็นช่วงสุดท้ายที่ปีกบราซิเลี่ยนจะได้ในยูนิฟอร์มสิงโตน้ำเงินคราม เมื่อการเจรจาสัญญาฉบับใหม่ระหว่างเจ้าตัวกับสโมสรที่ยืดเยื้อมาตลอดทั้งฤดูกาลอาจจะมาถึงทางตันเสียแล้ว วิลเลี่ยน ถือเป็นหนึ่งในนักเตะคนสำคัญของเชลซีในฤดูกาลนี้ โดยปีกวัย 31 ปีถูกส่งลงสนามทุกรายการไปทั้งสิ้น 37 เกม ยิง 7 ประตู กับอีก 6 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมสิงโตแห่งลอนดอนทำคะแนนเป็นอับดับ 4 ในศึกพรีเมียร์ลีก แถมยังมีโอกาสลุ้นแชมป์ทั้งศึกเอฟเอคัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก่อนที่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าจะส่งผลให้เกมการแข่งขันทั้งหมดต้องถูกเลื่อนออกไปเกือบ 3 เดือน โดยล่าสุดทางพรีเมียร์ลีกเตรียมกลับมาแข่งขันกันอีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ เดิมทีสัญญาระหว่างวิลเลี่ยนกับเชลซีจะสิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน แต่เนื่องจากการกลับมาแข่งขันอีกครั้งของศึกพรีเมียร์ลีกหลังสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศอังกฤษดีขึ้น อาจต้องลากยาวไปจนถึงเดือนสิงหาคม ทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงขยายสัญญาระยะสั้นออกไปจนสิ้นสุดฤดูกาล ทั้งที่สโมสรเชลซีต้องการรั้งตัววิลเลี่ยนให้อยู่กับทีมต่อไปโดยมอบสัญญา 2 ปีให้พิจารณา ทั้งที่นโยบายของสโมสรจะทำการต่อสัญญากับผู้เล่นอายุมากกว่า 30 ปีแบบปีต่อปีเท่านั้น โดยตัวของวิลเลี่ยนเองนั้นต้องการได้รับสัญญายาว 3 ปีจากต้นสังกัด เพื่อความมั่นคงในช่วงท้ายอาชีพ เป็นผลให้การเจรจาต้องหยุดชะงักไปในที่สุด นับตั้งแต่ย้ายมาสู่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2013 วิลเลี่ยนก็กลายเป็นกำลังสำคัญพาเชลซีกวาดแชมป์ถึง 5 รายการ จากพรีเมียร์ลีก 2…
โรแบร์โต ฟิร์มิโน่ คุณค่าที่มากกว่าแค่จำนวนการถล่มประตู
นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของ โรแบร์โต ฟิร์มิโน่ ในถิ่นแอนฟิลด์ เมื่อเขาถูกวิจารณ์อย่างหนักทั้งจากเหล่ากูรูลูกหนังและบรรดาแฟนบอลในเรื่องการผลิตสกอร์ในกับทีมลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2019-20 ซึ่งน้อยกว่าพาร์ทเนอร์ในแดนหน้าอย่างซาดิโอ มาเน่ และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทั้งที่ดาวยิงบราซิเลี่ยนลงเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าของทีม ก่อนที่พิษโควิด-19 จะเข้าเล่นงานจนลีกทั่วทั้งยุโรปต้องถูกพักการแข่งขันไปนานนับเดือน ฟิร์มิโน่ ทำประตูให้กับลิเวอร์พูลไปเพียง 11 ประตู จากการลงสนาม 43 นัดในทุกรายการ ในขณะที่มาเน่ทำได้ 18 ประตู ส่วนซาลาห์ก็ยิงไปทั้งสิ้น 20 ประตู ซึ่งทั้งสองคนลงเล่นด้วยจำนวนนัดที่น้อยกว่ากองหน้าทีมชาติบราซิลเสียอีก จนเป็นเหตุให้เกิดกระแสข่าวว่าทีมหงส์แดงกำลังมองหาศูนย์หน้าคนใหม่เข้ามาแทนที่ โดยมีชื่อของ ติโม แวร์เนอร์ ดาวยิงทีมชาติเยอรมันของแอร์เบ ไลป์ซิก เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง แน่นอนว่าหากมองเฉพาะจำนวนสกอร์ที่ฟิร์มิโน่ผลิตได้นั้นอาจจะดูน้อยไปสำหรับนักเตะในตำแหน่งที่อยู่ใกล้ปากประตูคู่แข่งมากที่สุด แต่สิ่งที่ฟิร์มิโน่ทำได้มากกว่าจำนวนประตูนั้นคือ การเป็นตัวเชื่อมเกมและสร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อนร่วมทีม โดยดาวยิงหน้าเปื้อนยิ้มเป็นนักเตะประเภทที่วิ่งเข้าหาบอลอยู่เสมอ และเมื่อแย่งบอลได้สำเร็จสิ่งแรกที่ฟิร์มิโน่ทำคือการมองหาเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในตำแหน่งได้เปรียบแล้วจ่ายบอลไปให้ทันที จนกลายเป็นที่มาของหลายประตูที่ทีมหงส์แดงทำได้ ซึ่งในฤดูกาลนี้ฟิร์มิโน่ทำไปแล้วถึง 12 แอสซิสต์ด้วยกัน แม้ตามแผนผังการเล่น ฟิร์มิโน่จะยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้าให้กับทีมหงส์แดง แต่เมื่ออยู่ในสนามบทบาทที่เขาได้รับกลับเป็นผู้เล่น Flase 9 หรือศูนย์หน้าตัวหลอกนั่นเอง โดยฟิร์มิโน่มักเป็นคนที่ดึงตัวประกบออกมาจากแนวรับแล้วจ่ายบอลให้เพื่อนสอดขึ้นมาทำประตูได้บ่อยครั้ง ด้วยเทคนิคอันแพรวพราวตามแบบฉบับนักเตะแซมบ้า รวมถึงการเล่นเพื่อทีมอย่างไม่เห็นแก่ตัว ทำให้เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวหลอก จนได้รับคำชมจากเจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้เป็นเจ้านายอยู่บ่อยครั้ง กุนซือชาวเยอรมันเอ่ยปากชมอยู่บ่อยครั้งว่าฟิร์มิโน่เป็นนักเตะระดับโลก แถมยังยกย่องลูกทีมคนโปรดว่าเป็นศูนย์กลางเกมบุกของลิเวอร์พูลที่คอยเชื่อมประสานผู้เล่นแนวรุกจนผลงานของทีมออกมาดีตลอด 3 ปีหลัง…
บุนเดสลีกา ผู้สร้างวิถีชีวิตการเชียร์ฟุตบอลแบบใหม่ของยุโรป
หลังถูกผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าจนทำให้ลีกฟุตบอลทั่วยุโรปต้องเว้นวรรคไปนานเกือบ 2 เดือน ในที่สุดศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ก็กลับมาลงสนามฟาดแข้งกันอีกครั้ง นับเป็นลีกชั้นนำของยุโรปรายแรกที่ตัดสินใจกลับมาจัดแข่งขันอีกครั้งจนจบฤดูกาล ด้วยรูปแบบการแข่งขันที่มีข้อกำหนดมากมายเกี่ยวกับความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ซึ่งถือเป็นกรณีศึกษาให้กับลีกอื่นในยุโรปต่อไป ก่อนถูกพิษโควิด-19 เล่นงานจนต้องเลื่อนการแข่งขันออกไป ทีมส่วนใหญ่ในศึกบุนเดสลีกาลงเตะไปแล้วทั้งสิ้น 25 นัด โดยมีบาเยิร์น มิวนิค รั้งตำแหน่งจ่าฝูง ในขณะที่โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก็ทำแต้มไล่จี้จนตามหลังเพียง 4 คะแนนเท่านั้น แถมทั้งคู่ยังมีโปรแกรมที่ต้องเจอกันเองด้วย ทำให้การตัดสินหาแชมป์ประจำฤดูกาล 2019-20 รวมไปถึงการลุ้นโควตาฟุตบอลยุโรปฤดูกาลหน้า จึงยังเต็มไปด้วยความเข้มข้นกับอีก 9 นัดที่เหลือ นัดแรกของการกลับมารีสตาร์ทลีกเมืองเบียร์ ถือเป็นศึกใหญ่อย่างดาร์บี้แมตช์แห่งแคว้นรูห์ เมื่อโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เปิดรังซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ต้อนรับชาลเก้ 04 โดยผลการแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะอย่างท่วมท้นของฝั่งเจ้าบ้านถึง 4-0 นับเป็นผลการแข่งขันที่สร้างความเซอร์ไพรซ์ให้กับแฟนบอลไม่น้อยทั้งที่เป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีครั้งที่ 156 ที่ทั้งคู่พบกัน ซึ่งไม่ใช่แค่ผลงานในสนามเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบรรยากาศต่าง ๆ รอบสนามที่ทำให้อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย การแข่งขันจึงถูกจัดขึ้นแบบปิดสนาม ไม่อนุญาตให้แฟนบอลเข้าชมเกมการแข่งขัน อัฒจันทร์จึงเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไร้ซึ่งสีสันจากแฟนบอล เสียงเชียร์ที่เคยดังกระหึ่มจึงเหลือเพียงแค่เสียงตะโกนจากโค้ชและนักเตะข้างสนามเท่านั้น แถมยังมีข้อกำหนดต่าง ๆ อย่างเช่น ให้นักเตะสำรองและทีมงานโค้ชทุกคนบนซุ้มม้านั่งสำรองต้องนั่งกันแบบเว้นระหว่างทางสังคม รวมถึงต้องสวมหน้ากากอนามัย, เว้นระยะห่างระหว่างนักเตะกับผู้ตัดสิน ผู้เล่นจึงหมดสิทธิ์รุมกดดันผู้ตัดสิน,…
โรนัลโด้ VS เมสซี่ : ศัตรูที่รักแห่งวงการฟุตบอล
ในวงการกีฬามีคู่ปรับที่แย่งชิงความเป็นหนึ่งมายมายหลายคู่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ กับ ราฟาเอล นาดาล เป็นคู่ปรับที่คู่คี่สูสีที่สุดแห่งวงการเทนนิส, รอนนี่ โอซัลลิแวน กับ สตีเฟ่น เฮนดรี้ เป็นคู่แข่งที่ขับเคี่ยวอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันในวงการสนุกเกอร์ แต่สำหรับวงการฟุตบอลแล้วคงไม่มีคู่ปรับคู่ไหนจะเทียบเท่าการดวลกันระหว่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ สองนักเตะแห่งยุคปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ได้รับการยกย่องให้เป็นนักเตะที่ดีที่สุดเคียงข้างกันในโลกลูกหนัง ทั้งคู่ครองรางวัลบัลลงดอร์ร่วมกันถึง 11 สมัย โดยเมสซี่เป็นผู้ที่คว้ารางวัลได้มากกว่าเพียงสมัยเดียว นอกจากนั้นทั้งคู่ยังคว้าโทรฟี่แชมป์รายการเมเจอร์ร่วมกันได้ถึง 65 แชมป์ แบ่งเป็นของโรนัลโด้ 31 แชมป์ และของเมสซี่ 34 แชมป์ ซึ่งจากสถิติข้างต้นทำให้แฟนคลับของเมสซี่ยกให้นักเตะคนโปรดของตนเหนือกว่าด้วยจำนวนแชมป์และรางวัลส่วนตัว แต่แฟนคลับของโรนัลโด้ก็แย้งว่าซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสเหนือกว่าเพราะประสบความสำเร็จมาแล้วถึง 4 ลีกใหญ่ของยุโรป แถมยังคว้าแชมป์ทั้งระดับสโมสรและทีมชาติ จึงทำให้เหล่าแฟนคลับของคู่ยังคงเถียงกันไม่รู้จบว่าใครเป็นนักเตะที่ดีที่สุดกันแน่ ด้วยความที่มีอายุมากกว่าถึง 2 ปี ทำให้โรนัลโด้เริ่มต้นบนเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพก่อน โดยนักเตะจอมสับถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสปอร์ตติ้ง ลิสบอน ตั้งแต่อายุเพียง 17 ปี ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และยูเวนตุสในปัจจุบัน ส่วนดาวยิงอาเจนไตน์เริ่มไต่เต้าจากนักเตะเยาวชนของบาร์เซโลน่า…